ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สำคัญผิดที่

๓๑ ธ.ค. ๒๕๖o

สำคัญผิดที่

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่)ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “อึดอัดกลางอกเวลาหายใจออก”

กราบนมัสการหลวงพ่อ จนถึงปัจจุบันผมยังปฏิบัติอยู่ครับ ปัญหาเรื่องคำด่าพระพุทธเจ้าหายไปแล้วครับ เรื่องตกภวังค์ตอนนี้ก็ไม่เป็นแล้วครับ ส่วนเรื่องอารมณ์รุนแรงของตัวเองที่เพิ่มขึ้นหลังนั่งสมาธิก็ยังคงอยู่ครับ ขอบคุณหลวงพ่อมากครับ ตอนนี้การปฏิบัติของผมเป็นดังต่อไปนี้ครับ

รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกและรู้ตัวเสมอเมื่อร่างกายขยับ เช่น นั่งกระดิกเท้า และรู้สึกว่าลมหายใจทำให้มีความรู้สึกเข้ามาว่าอึดอัดขึ้นมากลางอก บางครั้งสั่นๆ เป็นมากเมื่อลมหายใจออกที่ยาว และบางครั้งก็หายไป และก็กลับมาอีก รับรู้ความรู้สึกทั้งเหมือนจะจับคู่กันกับลมหายใจ และความรู้สึกอึดอัดกลางอก แต่ในชีวิตประจำวันที่ไม่ได้คิดถึงลมหายใจก็ไม่อึดอัด แต่เมื่อไหร่ที่รู้ลมหายใจจะเป็นอาการแบบนี้ทุกครั้ง

ขอความกรุณาหลวงพ่อด้วยครับว่า อาการที่ผมเป็นมันคืออะไรครับ ต้องแก้ไขอย่างไรครับ และผมมีคำถามเพิ่มเติมครับ ปัจจุบันผมรักษาศีล ๕ มาโดยตลอดครับ

๑. ผมอยากทราบว่า ดูหนังโป๊และช่วยตัวเองทำให้ผิดศีลไหม หรือมันเป็นโทษทางด้านไหน ฆราวาสควรจะละเว้นไหมครับ

๒. หากเป็นแฟนกันโดยยังไม่แต่งงานและมีความสัมพันธ์กัน จะผิดศีลข้อที่ ๒ และ ๓ หรือไม่ครับ

ตอบ : ผิดแน่นอน ผิดหมดเลย ทั้งข้อ ๑. และข้อ ๒. เดี๋ยวข้อ ๑. ข้อ ๒. มันเป็นคำถามเพิ่มเติมมา

แต่เอาผลของการปฏิบัติก่อน เวลาผลของการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติเริ่มต้น คนเราเวลาปฏิบัติทุกคนนะ ถ้ามีนิสัย คำว่า “มีนิสัย” คือว่ามันมีวาสนา คำว่า “มีวาสนา” ก็อยากจะเข้าวัดเข้าวา อยากจะคบแต่คนที่ดี

แต่ถ้ามันไม่มีวาสนาไปคบคนที่ดี เขาบอกว่า คนดีนี้ไม่ดีเลย ไม่ดีเพราะอะไร เพราะชอบแนะนำให้เราเสียสละ ชอบแนะนำให้เราเห็นแก่คนอื่น ไม่ให้เห็นแก่ตัว นี่มีคนคิดอย่างนี้นะ ถ้าเราเป็นคนที่ได้แต่ผลประโยชน์ เป็นความดีหมดน่ะ

แต่ถ้าเป็นคนดีๆ เขาจะเสียสละให้คนอื่นก่อนๆ ถึงบอกว่า ถ้ามีอำนาจวาสนามันจะระลึกถึงเรื่องอย่างนี้ ระลึกถึงแต่เรื่องที่ดีๆ ระลึกถึงแต่เรื่องของคนอื่น ระลึกถึงแต่เรื่องของประโยชน์ก่อน แล้วเราจะได้ประโยชน์ตามหลังมา เราจะได้ประโยชน์แน่นอน

ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดีแน่นอน แล้วได้ดีแบบความมั่นคงด้วย ได้ดีแบบความมั่นคงเพราะอะไร เพราะคนรอบข้างเราเป็นคนดี คนรอบข้างเราอบอุ่น เขาจะทำร้ายเราไหม สมบัติสิ่งใดที่เราหามามันจะเป็นประโยชน์กับเรา แล้วเขาช่วยคุ้มครองด้วย

แต่ถ้าเราเห็นแก่ตัวๆ เราทำสิ่งใดได้มา ไปเถอะ เขาทำลายหมดน่ะ แต่ถ้าเราเป็นคนดี แต่ถ้าเป็นคนดีนะ ถึงเวลาเป็นวาระของกรรมมันก็เป็นแบบนั้น

นี่พูดถึงว่า ต้องมีอำนาจวาสนา พอมีอำนาจวาสนา เราจะคิดแต่เรื่องดีๆ แล้วเราจะแสวงหาสิ่งที่ดีงาม

เราเห็นประวัติของคนที่ปฏิบัติมากมาย เขาจะคิดว่าอะไรคือความดี แล้วตามหาความดี พอตามหาความดีแล้ว ความดีที่ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ยังมีไหม ความดีที่ดีต่อเนื่องไป ความดี ดีจนถึงที่สุด เขาจะปฏิบัติแล้วพยายามค้นคว้าไป

ไอ้ว่าความดีๆ ความดีคืออะไรล่ะ

ส่วนใหญ่ของพวกเราบอก ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี

ทำดี ทำดีทิ้งเหว คำว่า “ทำดีทิ้งเหว” นะ ทำดีโดยความไม่ปรารถนาผลตอบแทน ถ้าใครปรารถนาผลตอบแทน มันก็เหมือนธุรกิจ เหมือนกับการแลกเปลี่ยน ทำแล้วต้องให้มีคนชื่นชม แต่ถ้าเป็นอย่างเรา เราทำแล้วทิ้งเหวนะ จะทำอะไรแล้วทำใต้ดิน

อยู่กับหลวงตามา หลวงตา ก่อนที่เราจะอยู่กับท่านนะ ท่านช่วยโลกมาเยอะ ก่อนที่ออกมาโครงการช่วยชาติฯ มาก แล้วไม่ให้ใครรู้ ใครจะจด ใครจะอะไร ท่านไม่ยอมให้ทำเลย ท่านทำใต้ดินหมด

ฉะนั้น พอเรื่องโครงการช่วยชาติฯ มันเป็นเรื่องของชาติ มันเป็นเรื่องที่ใหญ่ มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมีความร่วมมือ ท่านถึงได้ประกาศออกมา ไม่อย่างนั้นท่านทำใต้ดินทั้งนั้นน่ะ แล้วพอทำใต้ดินแล้วจบ สบาย ไม่เดือดร้อน แล้วไม่วุ่นวาย ไม่มีปัญหานะถ้าทำใต้ดิน

แต่ถ้าทำแล้วอยากให้คนรับรู้นะ มีปัญหามาก ฉะนั้น สิ่งที่ว่าทำบุญทิ้งเหวๆ คือว่าทำบุญแล้วไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ทำประโยชน์แล้วเพื่อเป็นประโยชน์อันนั้น ถ้าเป็นประโยชน์อันนั้นนะ ทำดีต้องได้ดี มันเป็นความดีในตัวของมันเอง เพียงแต่ว่าไม่มีใครมาชื่นชม ไม่มีใครมายกย่องสรรเสริญ นั่นเป็นเรื่องของโลก นั่นเป็นเรื่องของการประชาสัมพันธ์ ถ้าทางโลกมีความจำเป็น

แต่ถ้าทางธรรม ทางธรรมไม่ต้อง เพราะทางธรรมต้องการวิเวก ต้องการอยู่คนเดียว ต้องการความสงัด ต้องการการปฏิบัติ ไม่ต้องการเรื่องอย่างนั้น ถ้าไม่ต้องการเรื่องอย่างนั้นนะ ทำบุญทิ้งเหวแล้วไม่ต้องปรารถนาสิ่งใด แล้วไม่เรียกร้องอะไรเลย แล้วสบาย

แต่คนเรา “ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี”

ทำดีไม่ได้ดีก็ทำเล็กน้อย แต่ต้องการผลตอบแทนมากๆ นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ

นี่พูดถึงว่า คนต้องมีวาสนา พอมีวาสนาขึ้นมา เข้าถึงคำถามนี้ไง

คำถามที่ว่า เมื่อก่อนคำถามนี้เขาถามมา ถามมาว่าเข้าใกล้พระพุทธรูปไม่ได้ เวลาเข้าไปใกล้พระมันจะมีคำต่อต้าน คือคำติฉินนินทาออกมาจากหัวใจ ออกมาจากเบื้องลึกนะ

แล้วเราก็บอกว่าให้ขอขมาลาโทษซะ แล้วให้พยายามขออภัย แล้วแผ่เมตตา แล้วพยายามปฏิบัติ พุทโธ คำด่าพุทโธก็หายไปแล้ว แล้วพอภาวนาไปตกภวังค์ ตกภวังค์ก็หายไปแล้ว เพียงแต่ปฏิบัติแล้วอารมณ์มันรุนแรง พอรุนแรงขึ้นมาแล้ว เวลาปฏิบัติไปมันก็เข้ามาตรงนี้ เข้ามาว่า ถ้ารู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกมันจะมีอาการอัดอั้นกลางหน้าอก

เวลาการอัดอั้นกลางหน้าอก ถ้าอัดอั้นกลางหน้าอก เวลาคนกำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธ ถ้ามันมีแรงต่อต้าน มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก การปฏิบัติของเราไปมันจะมีอุปสรรค

แต่ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติเลยเราก็ไม่รู้นะว่าเราจะมีอุปสรรคอะไร ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เหมือนกับเราคนแข็งแรง พอเราเข้าไปตรวจโรค โอ้โฮ! โรคเต็มเลย โอ๋ย! สะดุ้ง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติมันก็เหมือนกับเราทำอะไรก็ได้ เรานี่เป็นผู้ที่ทำอะไรประสบความสำเร็จทั้งนั้น เราเป็นคนดีทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาไปปฏิบัติ ไอ้ความดีๆ ของเรานะ มันกลายเป็นดาบสองคม มันกลายเป็นว่า เรารู้อย่างนั้น เราเข้าใจอย่างนั้น มันจะมีแรงต่อต้านอย่างนั้น

ถ้ามีแรงต่อต้าน แรงต่อต้านมันเกิดจากอะไร เกิดจากจริตนิสัย เกิดจากความชอบ เกิดจากต่างๆ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัตินะ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง กำหนดพุทโธ กำหนดอานาปานสติ กำหนดลมหายใจ กำหนดมรณานุสติ การกำหนดนั้นคือคำบริกรรม การกำหนดนั้นคือการกระทำ

ถ้าการกระทำอยู่ตรงนั้นต่อเนื่องๆ จิตมันเหมือนกับการนวดแป้ง การตักน้ำใส่ตุ่ม ถ้าตักน้ำใส่ตุ่มตลอดเวลา น้ำต้องเต็มตุ่มแน่นอน เวลาเรานวดแป้งๆ ไป แป้งมันต้องนุ่มนวลแน่นอน นี่ก็เหมือนกัน เราบริกรรมพุทโธๆๆ ไป โดยข้อเท็จจริงมันจะต้องจิตสงบแน่นอน

แต่ที่มันไม่สงบเพราะอะไร มันมีแรงต่อต้านเพราะอะไร มีแรงต่อต้านเพราะกิเลสไง กิเลสเป็นสิ่งที่มีชีวิตในใจของเราไง เวลาเราพยายามจะทำความสงบของใจเข้ามาคือการพยายามจะใช้คำบริกรรมให้กิเลสสงบตัวลง การทำสมาธิคือกิเลสสงบตัวลง สงบตัวลง จิตตั้งมั่น จิตที่เป็นเอกเทศ พอจิตที่เป็นเอกเทศ

ก่อนที่มันจะเป็นเอกเทศ มันมีกิเลสอยู่ในใจ กิเลสในใจมันก็พลิกแพลงไง มันก็เกิดอาการต่างๆ ขึ้นมาไง อย่างเช่นคำด่าคำติฉินนินทาที่เกิดมาจากดั้งเดิม นั่นก็เป็นกรรมเก่า กรรมที่ได้สร้างเวรสร้างกรรมสิ่งใดไว้ พอเรามีสติมีปัญญารู้เท่ารู้ทัน เราก็แก้ไขของเราได้ใช่ไหม

เวลามันตกภวังค์ ตกภวังค์เพราะความพลั้งเผลอ พอความพลั้งเผลอ เราตั้งสติไว้ กำหนดไว้ มันก็จะลงสู่สมาธิ ถ้าลงสู่สมาธิ มันก็ยังมีเวรมีกรรมต่อไป เวลาจะลงสมาธิมีเกิดการอึดอัด เกิดการกดดันกลางหัวอก

นี่เวลาภาวนาไป เวลาภาวนาไปนะ โดยทั่วไปเขาบอกภาวนาแล้วต้องมีความสุข ภาวนาไปแล้วส่วนใหญ่จะไม่เกิดความทุกข์ ทำไมพวกเราภาวนาแล้วมีแต่ความทุกข์ความยากล่ะ

ภาวนาจะเกิดความสุขๆ ความสุขมันต้องเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าถูกต้องตามความเป็นจริงนะ เวลามันสงบลง โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มากกว่าความสุขที่เราคาดหมายเราจินตนาการอีก เพราะความสุขนั้นเป็นความสุขเหนือโลก

แต่สิ่งใดที่บอกภาวนาแล้วมีความสุขๆ คือการปฏิเสธ คือการไม่รับผิดชอบ เวลามันไม่รับผิดชอบ มันตกภวังค์ไป มันหายไป ว่าไอ้นั่นเป็นสมาธิ

ความเข้าใจผิดของคนที่ภาวนาไม่เป็นมันก็บอกภาวนาอย่างนั้นมีความสุข มีความสุขเพราะมันพอใจมันชอบใจ ชอบใจว่าตัวเองทำได้ ทำแล้วประสบความสำเร็จ แต่ความจริงแล้วมันไม่สำเร็จ เพราะมันเป็นมิจฉา เป็นมิจฉาเพราะมันขาดสติ เพราะมันไม่เป็นตามความเป็นจริง

ถ้าเป็นความจริง สมาธิคือสมาธิ แล้วสมาธิเป็นอย่างไร

เราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ หลวงตาท่านพูดเอง ท่านบอกนะ แม้แต่สมาธิมันยังทำกันไม่ได้ มันยังทำกันไม่เป็น แล้วมันจะไปภาวนาอะไรกัน หลวงตาท่านพูดบ่อยมาก

เพราะสมาธิจริงๆ มันไม่เป็นแบบที่เราคาดหมายหรอก ถ้ามันเป็นความจริงๆ ถ้าเป็นสมาธินะ สมาธิมันไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่ว่าเป็นสมาธิๆ ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะถ้าเป็นสมาธิ จิตเป็นจิต จิตไม่พาดพิงอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วมันเป็นความสุขสงบที่มันมหัศจรรย์ พอมหัศจรรย์มันจะสดชื่นมาก จิตที่ไม่เคยเห็นตัวมันเองได้เห็นตัวมันเอง นี่เป็นสมาธินะ

แต่ถ้ามันก่อนจะเข้าสมาธิมันมีปัญหาอย่างนี้ ถ้ามีปัญหาอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราสำคัญกันผิดไง สำคัญผิด สำคัญว่าไอ้นั่นจะเป็น ไอ้นี่จะเป็น ความสำคัญอันนั้น กิเลสเป็นดาบสองคม กิเลสมันก็สร้างภาพ สร้างการต่อต้านขึ้นมา เพราะความสำคัญของเราไง

ถ้าเราสำคัญที่พุทโธสิ เราสำคัญที่อานาปานสติสิ เราสำคัญจริง จริงกับคำบริกรรมนั้น คำบริกรรมจริงๆ นั่นน่ะ บริกรรมให้จริง

แต่กิเลสมันก็บอกว่านี่มันหยาบๆ เพราะมันเป็นการท่องเอา เวลามันเป็นจริงแล้ว อาการท่องต้องหายไป พออาการท่องต้องหายไป จิตมันต้องเป็นตัวมันเองได้ แต่อาการท่องที่หายไปเพราะทิ้งทั้งการท่องและทิ้งทั้งตัวจิต หายไปหมดเลย หายไปจนไม่มีอะไรเลย อันนี้เป็นสมาธิหรือ แล้วส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ เป็นอย่างนี้เพราะอะไร

เป็นอย่างนี้เพราะอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของพวกเราอ่อนด้อยกันมาก ถ้าอำนาจวาสนาที่เขาเข้มข้นเข้มแข็งนะ เรื่องอย่างนี้เขาไม่เชื่อเลย

เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ แบบพวกพระฝรั่งที่มาปฏิบัติเขาเป็นนักวิชาการ ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการแล้วมาบวชพระ พอจิตเขาจะเป็นอะไรเขาไม่เชื่อ กรณีนี้มันก็เป็นอุปสรรคของเขาอันหนึ่ง ถ้าจิตเขาจะสงบหรือไม่สงบก็แล้วแต่ เขาไม่เชื่อ เขาจะตรวจสอบตลอด ทดสอบตลอด มันก็เลยไม่เข้าเสียทีไง มันก็เลยไม่เป็นเสียที เพราะเขาไม่เชื่ออารมณ์ของเขา เขาไม่เชื่อข้อเท็จจริงในใจของเขา เขาปฏิเสธตลอด นี่คือนิสัยของเขา

แต่นิสัยของเรา พวกเรามันอ่อนไหว มันเชื่อง่าย เชื่อไปเรื่อยๆ เลย ทำไมไม่ถามตัวเองล่ะ ถามว่าอันนี้ใช่จริงหรือ ที่มันเป็นอยู่นี่จริงหรือ ถ้ามันไม่จริง มันไม่จริงเพราะอะไร อ้าว! ไม่จริงต้องหาเหตุผลสิ

ก็บอกให้กำหนดพุทโธ ให้กำหนดอานาปานสติ ก็กำหนดไปสิ แล้วกำหนดไปถ้ามันเป็นจริง เป็นจริงมันต้องทดสอบสิ เป็นจริง เพราะเราทำอย่างนี้มา

เราไม่เชื่อ แล้วเราลองตลอด ถ้ามันลง ลงอย่างไร ถ้าไม่ลง ไม่ลงอย่างไร อานาปานสติก็ลง บริกรรมพุทโธก็ลง เวลาลง ลงถึงอัปปนาเลย ลงถึงสักแต่ว่าเลย เราทำมาหมดแล้วแหละ แต่ก่อนที่มันจะลงมันเป็นอย่างไร แล้วมันมีปัญหาอย่างไร

นี่พูดถึง เพราะเราไปสำคัญ ไปยึดอารมณ์ความรู้สึกที่ว่า พอบอกว่า เป็นภวังค์แล้วเราก็ไม่รู้จักใช่ไหม พอมันอึดอัดขัดข้อง

ก็เราไปอึดอัดขัดข้อง เราอยู่ที่พุทโธสิ เราอยู่ที่อานาปานสติสิ ถ้าอยู่ตรงนี้ต่อเนื่องไปมันก็จะเข้าสู่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แล้วเหตุและผลในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการขัดการแย้งกัน

มีการขัดการแย้ง การที่ไม่เหมือนกัน อันนั้นถือได้เลยว่าไม่ใช่ธรรม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการขัดการแย้งกันนะ จะมีแต่การส่งเสริมกัน มีแต่ทาน ศีล ภาวนา มีแต่การส่งเสริมให้เจริญงอกงามขึ้น ถ้าขัดถ้าแย้งนั่นคือกิเลสทั้งนั้นน่ะ ถ้ากิเลสมันขัดมันแย้งมันเป็นอย่างนั้น

นี่พูดถึงว่า ถ้ามันบอกว่ามันอึดอัดขึ้นมากลางหัวอก

มีปัญหาทั้งนั้นน่ะ นี่คือปัญหา นี่คือปัญหาที่มันจะเข้ามาสู่ความสงบไง ถ้ามันมีปัญหาอย่างนี้เราก็ค่อยแก้ๆ ไป เพราะแก้กันมาหลายเรื่องแล้วไง

เพราะมันไปสำคัญตรงความรู้สึก ไม่สำคัญที่ลมหายใจ ไม่สำคัญที่พุทโธชัดๆ ที่หลวงปู่มั่นท่านสั่งหลวงตาไว้ไง อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ จะไม่เสียหาย อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ แน่นอน นี่คือผลของการปฏิบัติ

แต่คำถามนะ “ผมอยากทราบว่าดูหนังโป๊และช่วยตัวเอง ทำให้ผิดศีลหรือไม่ หรือมันจะเป็นโทษทางด้านไหน ฆราวาสควรจะทำหรือไม่”

เป็นแน่นอน เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะสิ่งที่ว่าสินค้า สินค้าที่มันคุ้มครองผู้บริโภคเขาบอกว่าสิ่งใดถ้ามันผิด เขาไม่ให้เข้ามาค้าขาย เขาไม่ให้มาเข้าตลาดเพื่อประชาชนเพื่อผู้บริโภคจะได้ผลกระทบที่เสียหาย

แล้วนี่ไปดูหนังโป๊ หนังโป๊ก็ต้องแอบต้องซ่อน มันผิดมาตั้งแต่ต้น มันผิดมาตลอด แล้วผิดแล้ว แล้วมันช่วยตัวเองผิดไหม ก็ผิดไง ทำลายตัวเองไง แล้วมันทำลายตัวเอง สุขภาพของตัวเอง แล้วมันมีอะไร ผิดทั้งนั้นน่ะ

“๒. หากถ้าไม่ใช่แฟนกัน ไม่ได้แต่งงานกัน แล้วมีความสัมพันธ์ต่อกันจะผิดศีลหรือไม่”

ผิดอยู่ดี ผิดแน่นอน มันมีวัยรุ่นเขาคิดกันเองไง บอกว่า เขามีความสมัครใจทั้งคู่ ไม่ผิด

เราถามกลับเลย มึงเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่หรือ มึงไม่มีพ่อไม่มีแม่ใช่ไหม ถ้ามีพ่อมีแม่หมายความว่าเขามีเจ้าของ พ่อแม่ของเขาเป็นเจ้าของใช่ไหม

เวลาทางโลกเรา เราก็ไปสู่ขอกันใช่ไหม มันถึงจะพ้นจากสิทธิความเป็นเจ้าของ แต่ถ้าเขามีเจ้าของ ก็เหมือนเราหยิบฉวยของที่มีเจ้าของ เราลักของเขา ผิดทั้งนั้นน่ะ ถ้าพูดถึงผิดนะ

เราจะบอกว่า ปัญหาอย่างนี้ปัญหาที่เราเจอมาเยอะแยะ แล้วสังคมมันเสื่อมทราม ถ้าสังคมเสื่อมทรามเป็นเรื่องความเสื่อมทรามของสังคม พอเรื่องความเสื่อมทรามของสังคมนะ แล้วถ้าอยู่ในสังคม ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติเยี่ยงนี้ก็บอกว่าเราเป็นคนไม่ทันสมัย ถ้าทันสมัยก็ทันกิเลสไง ถ้ากิเลสเป็นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของกิเลสไง

ฉะนั้น บอกข้อที่ ๑. ผิดไหม ผิด เพราะอะไร เพราะพวกเราชาวพุทธ เราไม่ต้องการปรารถนาตรงนี้ไง ชาวพุทธมันต้องมีศีลมีธรรมใช่ไหม เราต้องการศีลต้องการธรรม ต้องการมรรคต้องการผล เรามาสนใจเรื่องอย่างนี้หรือ

พระ เวลาพระปฏิบัติ เวลาพระปฏิบัตินะ ยังคลุกคลีไม่ได้เลย แม้แต่คุยกันเรื่องธรรมะยังไม่สมควรเลย ท่านไม่ให้คลุกคลีกันทั้งนั้นน่ะ เพื่ออะไร เพื่อความอยู่วิเวก เพื่อความเป็นจริงในการปฏิบัติ

นี่พูดถึงว่า ผิดหรือไม่

ผิด ถ้าพูดต่อไป มันจะกลายเป็นว่าเราต้องอยู่คนเดียวในโลก จะอยู่กับใครไม่ได้ จบแค่นี้ก่อน นี่พูดถึงเรื่องโลก จบ

ถาม : เรื่อง “กราบขอขมาหลวงพ่อครับ”

ขอบพระคุณหลวงพ่อที่ตอบคำถามเรื่องมีดเชือดคอครับ ต้องขอขมาหลวงพ่อในคำถามไม่สมเหตุสมผลครับ และขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้สติครับ (ตอนนี้ไม่เห็นอะไรแล้ว กลัวเสียสติครับ) ผมปกติดีครับ แต่เพื่อไม่ประมาท ผมติดต่อสถาบันสุขภาวะทางจิตที่จุฬาฯ เรื่องภาพหลอนครับ เคสเบื้องต้นไม่มีอาการหลอนในชีวิตประจำวันครับ ผมอาจจะลองดับเบิลเช็กกับที่อื่นต่อไป กราบขอขมาหลวงพ่อ ณ ทีนี้ครับ

ตอบ : นี่เขาขอขมามานะ ไอ้นี่มันเป็นคำถามครั้งที่แล้วว่า ภาวนาไปแล้วเหมือนมีมีดเชือดคอ แล้วเห็นหัวของตัวเองตกลงไป

ไอ้กรณีนี้นะ พูดถึงทางโลก เราไม่ได้ว่าใครทั้งสิ้นนะ เราหวังดีปรารถนาดีกับทุกๆ คน แต่เราก็ต้องปรารถนาดีหวังดีกับพระพุทธศาสนา

คำว่า “พระพุทธศาสนา” นะ สังคมโลกติเตียนกันมากว่า มาภาวนาแล้วหลุด มาภาวนาแล้วเสียหาย มาภาวนาแล้วผิดปกติ บอกว่าภาวนานี้เสียหายทั้งนั้นเลย

แต่ในความเป็นจริงนะ ในการภาวนาจะพัฒนาหัวใจของคนให้ดีขึ้น พัฒนาหัวใจของคนจนถึงที่สุดแห่งทุกข์เป็นพระอรหันต์ไปเลย นั้นถ้าพูดถึงธรรมความเป็นจริง เวลาเราจะปกป้องพระธรรมก็ตรงนี้ ตรงที่เวลาทำสิ่งใดไปแล้วมันจะเสียหายต่างๆ

มันมีไง มันมีเพราะเราอยู่กับหลวงตา เวลาผู้เฒ่าเขาปฏิบัติแล้วเขาหลง เขาพามาหาท่าน เราก็นั่งดูว่าท่านทำอย่างไร ท่านก็นั่งเฉย เพราะแก้เขาไม่ได้

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันมี มีอยู่ที่นี่แหละ มันมีพวกโยมที่ปฏิบัติแล้วมาหาเรา นุ่งขาวห่มขาวมานี่ เขาพยายามจะพูดว่าเขาบรรลุธรรม เขามีคุณธรรม แต่ตาเขาลอยๆ ไง คือเขาไม่ใช่ ภาษาเราคือว่าเขาหลุดอยู่แล้ว แต่เขาก็พยายามจะพูดว่าเขามีคุณธรรม

ไอ้เราก็สงสารนะ เราก็พยายาม เขาจะให้เราเอออย่างเดียว แต่เราก็ปฏิเสธ เพราะเออไม่ได้ เออยิ่งเขาจะไปใหญ่ เราจะให้เขากลับไปหาหมอ

แล้วในสายปฏิบัติของหลวงปู่ขาน หลวงปู่ขาน เวลาพระปฏิบัติไปแล้วมันจะมีปัญหาบ้าง พอมีปัญหาบ้าง ส่วนใหญ่แล้วท่านจะให้ไปหาจิตแพทย์ พอหาจิตแพทย์ จิตแพทย์ก็จะให้ยา พอให้ยาขึ้นมาแล้ว แล้วก็มาประพฤติปฏิบัติเพื่อบำบัดทั้งสองทาง

แต่ถ้าเราคนคนเดียวนะ อย่างเราภาวนาไปแล้วหลุด พอหลุดไปแล้วเราก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะเรายังภาวนาต่อไป เราเองเราต้องต่อสู้กับจิตใจของเราเอง แต่ถ้าเราไปหาหมอ หมอเขาให้ยานะ การให้ยานั่นมันช่วยควบคุมประสาท ช่วยควบคุมการบังคับ แล้วเรามาช่วยภาวนา คือมันช่วยผ่อนแรงไง

ฉะนั้น หลวงปู่ขานท่านจะบอกว่า ถ้าพระที่วัดท่านถ้าภาวนาแล้วมีปัญหา ท่านส่งไปหาหมอเลย ให้หมอช่วยใช้ยาควบคุม แล้วพยายามจะฟื้นฟูกลับมา

นี่ก็เหมือนกัน ในการปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติ เวลาคนเรา เวลาแบบว่ามันผิดปกติ ถ้าผิดปกติแล้วมาวัดมาวา เวลาปฏิบัติ เวลาที่เขามาปฏิบัติที่วัดนี้ ส่วนใหญ่มีหลายคนที่เขามาหาเราเลยบอกว่าเขาเป็นอย่างนี้อยู่

ถ้าเขาเป็นอย่างนี้อยู่นะ ถ้าบอกเรานะ ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ ให้วาง ให้วางผลจากการใช้ปัญญา การใช้ปัญญามันพยายามจะให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ไอ้ตรงนี้มันจะกระตุ้นให้ความเห็นนี้มันส่งออกไป

แต่ถ้าเราไม่ปกติ เรามาปฏิบัตินะ เราพยายามพุทโธหรือใช้ลมหายใจเข้าออก เอาแค่นี้พอ เอาแค่นี้ขึ้นมาเพื่อให้จิตมันกลับมาเป็นปกติไง

ธรรมะนี้มันให้ผลได้ทุกๆ อย่างเลย ให้ผลกับทุกๆ คนเลย แต่ทุกๆ คนนั้นน่ะเราอยู่ในสถานะใด ถ้าเราอยู่ในสถานะที่ว่าผิดปกติ เราก็จะทำจิตของเราให้กลับมาเป็นปกติ พอเป็นปกติ ปกติคือสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นดีงามแล้วเราค่อยยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าคนมีสติมีปัญญามันจะก้าวเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปไง ถ้ามันก้าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

ฉะนั้น เวลาคำถามเขาถามมา ในความรู้สึกเรา เราเห็นว่ากิเลส กิเลสของคนน่ะ กิเลสคือมารมันพยายามจะชักนำให้ไปในแนวทางทำร้ายตัวเอง

อย่างเช่นบอกว่า ภาวนาไปแล้วมันมีลมเย็นๆ เขาว่านะ มีลมเย็นๆ เหมือนกับมีดมาเชือดคอของตัวเอง แล้วพอนั่งภาวนาไปเห็นศีรษะของตัวเองหลุดลงไปอยู่ข้างหน้านี่

มันเห็นนิมิต มันเป็นการแบบว่าชักนำ เป็นการแบบว่าจูงใจไป เราถึงบอกว่าถ้าอย่างนี้แล้วเขาควรจะไปหาหมอก่อน ฉะนั้น ควรจะไปหาหมอก่อน เพราะหาหมอก่อน

เพราะเราพยายามจะปกป้องศาสนาพุทธเรานะ เราพยายามจะปกป้องคนที่มาภาวนามาแล้วไม่ควรจะมีสิ่งใดที่ไม่ไว้ใจ ไม่มีสิ่งใดที่คลอนแคลนไง แล้วเราก็ดูติดตามข่าวสารในทางกระทรวงสาธารณสุข ในทางจิตแพทย์ ในกรมสุขภาพจิต จิตเภท จิตที่ผิดปกติ ประชากรไทย ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ๓๐ เปอร์เซ็นต์นะ แล้วซึมเศร้า ซึมเศร้าในประชากรไทย ในกรมสุขภาพจิตนะ ๓ ล้านคน

ประชากรไทยตอนนี้เป็นโรคซึมเศร้า ๓ ล้านคน แล้ว ๑ ใน ๓ ล้านนั้นอายุต่ำกว่าจนตรวจเช็กไม่ได้ว่าเป็นโรคซึมเศร้า เพราะอายุขัยเขายังเด็กเกินไปที่จะรู้ได้ว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ ถ้าเขาโตขึ้นมานะ เวลาการตรวจเช็กเรื่องสุขภาพถึงจะรู้ว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า

ถ้าโรคซึมเศร้าพวกนี้ ถ้าเขาผิดปกติ ในกรมสุขภาพจิตมันเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว เราจะบอกว่า เราควรกลับมาช่วยกัน เราควรกลับมาพัฒนาให้มันดีขึ้น แต่อย่าให้มันเสียหาย เราถึงได้แนะนำให้เขาไปเช็กดูก่อน วันนี้คำตอบมาแล้ว

“ตอนนี้ผมไม่เห็นอะไรแล้วครับ กลัวเสียสติครับ ผมปกติดีครับ แต่ไม่ประมาท ผมติดต่อไปที่สถาบันสุขภาพจิตที่จุฬาฯ เรื่องภาพหลอน เคสเบื้องต้นไม่มีอาการหลอนครับ”

เราคิดอยากให้ไป ถ้าเราเป็นประชาชนชาวไทยนะ ในกระทรวงสาธารณสุข ในทางการแพทย์เขามีการรักษา ทีนี้การรักษา เรามาวัดมาวา ในการปฏิบัติ หัวใจของมนุษย์เท่านั้นที่สัมผัสธรรมได้ หัวใจของมนุษย์เท่านั้นที่สัมผัสธรรมได้ สิ่งที่ความสัมผัสธรรม ธรรมะมันประเสริฐมาก ฉะนั้น เวลามันประเสริฐมาก ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันก็เพื่อหัวใจของเราไง

แต่ถ้าเราไม่รู้ตัวว่าเรามีโรคภัยไข้เจ็บในจิตบ้างหรือเปล่า โรคกิเลสมันก็โรคร้ายแรงอยู่แล้ว กิเลสนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด แต่ถ้ามันผิดปกติ มันมีโรคอย่างนี้อยู่บ้าง กิเลสมันก็ได้ช่อง กิเลสมันก็ได้เครื่องเสริม กิเลสมันก็ได้กำลัง เราต่างหากเป็นผู้เสียหาย เราต่างหากเป็นผู้ที่ผิดปกติ ถ้าเราไปหาหมอซะ หมอก็ช่วยแก้ไขในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ

ไอ้โรคกิเลสมันยังสุมอีกเต็มหัวใจนะ แล้วเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้าประโยชน์กับเรา ที่เราทำ เราทำแบบนี้

ฉะนั้น คำถามเขาถามว่า กราบขอขมาหลวงพ่อครับ

ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร ไม่มีโทษหรอก เราเองต่างหากเวลาพูดไปแล้วผู้ที่ถามอาจจะเสียเกียรติอยู่บ้าง เสียหายบ้าง ทีนี้มันก็ว่าเป็นความปรารถนาดีของเราไง เป็นความปรารถนาดีของเรา

ถ้าจิตมีปัญหาไปหาหมอก่อน หมอเขาก็ช่วยในทางยา ช่วยควบคุม ช่วยดูแล แล้วเรา เราก็หายใจนะ ผู้ที่มีปัญหาอย่างนี้ให้หายใจเข้านึกพุท ให้หายใจออกนึกโธ เราหายใจเพื่อให้จิตกลับมาเป็นปกติ แล้วถ้ามันไปรู้ไปเห็นสิ่งใด เราจะไม่ตามไป เราจะสติระงับไว้ เอาสติยับยั้งไว้

อย่างเช่นเวลาคนที่ภาวนา ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาจิตสงบแล้วไปรู้ไปเห็นสิ่งใด ถ้ามันสงสัยนะ ถ้าคนมีวาสนานะ ถาม ถามภาพที่เห็นเลย พอถามนั่นน่ะหายวับ ถ้ามันจะหลอกนะ ถามเลย

แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่รู้จะถามตอนไหนไง พอเห็นเข้าไปก็เหมือนกับอยู่กลางอากาศแล้วเคว้งแล้ว ทำอะไรไม่ถูกไง แล้วก็เชื่อตรงนั้นไง แต่ถ้าเราไม่เชื่อสิ่งนั้น

นี่พูดถึงนะ มันเป็นโอกาสให้เราได้พูด เพราะในการปฏิบัติมีครูบาอาจารย์ช่วยคุ้มครอง ช่วยคุ้มครองดูแลพวกเราอยู่

ครูบาอาจารย์นะ เวลามันมีปัญหาขึ้นมา เวลากรรมมันให้ผลไง เวลาปฏิบัติไป อยู่ในวงปฏิบัติเห็น เมื่อก่อนเราปฏิบัติใหม่ๆ เรื่องนี้เราต่อต้านมาก เราไม่เชื่อเลยนะว่าปฏิบัติแล้วจะเสีย ปฏิบัติแล้วต้องเป็นพระอรหันต์หมด เมื่อก่อนคิดอย่างนั้นเลยนะ แต่พออยู่ไปๆ เห็นพระเป็นกันน่ะ เห็นพระหลุด เอ๊...เอ๊...แล้วเราก็มาศึกษา

พอมาศึกษาแล้ว ถ้าจะเป็นนะ ส่วนใหญ่มันมาจากโรคเดิมก่อน มาจากโรคเดิม แล้วพอปฏิบัติไปแล้ว โรคเดิมคือว่ามันบกพร่องอยู่แล้ว พอบกพร่องอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ไง พอเราไม่รู้ขึ้นมา พอเราปฏิบัติไป กิเลสมันอาศัยตรงนี้กระตุ้นเลย เพิ่มเข้าไปเลย เราก็เลยเคว้งเลย แล้วสุดท้ายก็กลับมาโทษการปฏิบัติๆ แต่ความจริงมันจะมีโรคเดิม มันจะมีของเดิมอยู่บ้าง แล้วถ้ามีของเดิมอยู่บ้าง

ฉะนั้น ในการปฏิบัติมันเป็นโอกาสของเรา มันเป็นสมบัติของเรา ถ้าจะทำเราก็ทำดีขึ้น เพราะถ้ารักษาก็รักษาทั้งโรคทางโลกคือบกพร่อง แล้วถ้าเราปฏิบัติ ธรรมโอสถ เราบำบัดโรคกิเลสด้วยอย่างนี้ โอ้โฮ! สุดยอดเลย เราเลยได้สองชั้น ได้ทั้งบำบัดโรคด้วย ได้ทั้งแก้กิเลสด้วย มันก็เป็นสองชั้นใช่ไหม

แต่ถ้าไม่ใช่ มันเป็นโอกาสที่เราได้อธิบาย เพราะอย่างที่ว่า มันเป็นกรรมของสัตว์นะ มันน่าเห็นใจทุกๆ คน พอเราเป็นขึ้นมา เพราะโดยทางโลกนะ กรรมพันธุ์มันเป็นโดยธรรมชาติ กรรมพันธุ์มันมีอยู่แล้ว แล้วกรรมล่ะ

กรรมพันธุ์นี่เรื่องหนึ่งนะ กรรมพันธุ์เป็นเรื่องของร่างกายนะ กรรมพันธุ์ พ่อแม่ที่เป็นเบาหวาน ลูกก็มีโอกาสเป็นเบาหวานเยอะ อ้าว! พ่อแม่เป็นโรคสิ่งใด ลูกก็รับกรรมพันธุ์นั้นไป นี่กรรมพันธุ์

แต่กิเลสมันไม่ใช่กรรมพันธุ์นะ ถ้ากิเลสเป็นกรรมพันธุ์นะ พ่อแม่ที่ดี ลูกต้องดีหมดเลย พ่อแม่ที่เลว ลูกต้องเลวหมดเลย พ่อแม่ที่ดี ลูกเก๊ก็เยอะแยะไป พ่อแม่ที่เลว ลูกดีมหาศาลก็เยอะแยะไป

เรื่องกิเลสไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่เรื่องร่างกายนี้เป็นกรรมพันธุ์ แล้วถ้าเป็นกรรมพันธุ์อย่างนี้ สิ่งที่ว่ามันผิดปกติ เราก็รักษาซะ ไม่เสียหายอะไร

นี่พูดถึงผลของการปฏิบัติเนาะ เหตุผลไง

ฉะนั้น เขาบอกว่าเขาได้ไปตรวจเช็กมาแล้ว

เราชอบใจตรงนี้ เราชอบใจว่า เราเป็นสุภาพบุรุษด้วยกัน เราพูดกันด้วยเหตุด้วยผล เราเห็นว่ามันจะน้อมนำไปทางนั้น เราบอกว่าให้ไปหาหมอก่อน เขาบอกเขาไปหามาแล้ว แล้วจะดับเบิลเช็กอีกต่างหาก จะเช็กรอบสองรอบสามอีกด้วย

เห็นไหม ทุกคนรักตัวเอง “ผมไปตรวจมาแล้วครับ แล้วผมอาจจะลองดับเบิลเช็กอีกรอบหนึ่ง” ถ้าดับเบิลเช็กแล้วเราก็ดูแลรักษาตรงนั้น แล้วภาวนาไป

เพราะกรณีนี้ วันนั้นเราตอบเรื่องในพระไตรปิฎก ภิกษุประพฤติปฏิบัติพิจารณาอสุภะ การว่าพิจารณาอสุภะมันจะถอนกามราคะ แต่ทำไมเขาพิจารณาอสุภะแล้วเขาไปขยะแขยงล่ะ เขาไปจ้างช่างกัลบกเชือดคอเขาตายล่ะ นี่ในสมัยพุทธกาล นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์อยู่นั่นนะ อยู่ในวัดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะถึงเคสนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าวิเวกก่อน พอเข้าวิเวกก็ห้ามให้พระเข้าพบ พอห้ามพระเข้าพบมันก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น พระพุทธเจ้าออกจากวิเวกมา “ทำไมพระเป็นอย่างนี้ล่ะ”

พระอานนท์รายงาน พอรายงาน เพราะมันเป็นกรรมของเขาที่รุนแรงที่แก้ไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเข้าวิเวก แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า กรรมของเขา เขาเคยเป็นนายพรานทำวัวล้อม ฆ่าสัตว์ฆ่าอะไรแล้วผลให้มาอย่างนั้น นี่พระพุทธเจ้าย้อนกลับไป นี่อยู่ในพระไตรปิฎก กรณีอย่างนี้มันเป็น

เราบอกว่า การพิจารณาอสุภะทุกคนก็ปรารถนา ทุกคนก็อยากได้ ทำไมพิจารณาอสุภะไปแล้วมันเกิดเป็นอย่างนี้ล่ะ

ถ้าพิจารณาอสุภะมันถึงมัชฌิมาปฏิปทาไง อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยคไง ถ้ามันติดพันกันไป หลงกันไป มันก็เป็นอีกทางหนึ่ง ถ้ามันเข้มข้นเกินไป มันก็เป็นอีกทางหนึ่ง ถ้ามัชฌิมาปฏิปทาก็เป็นความพอดี มัชฌิมาปฏิปทาตรงไหนล่ะ นี่ไง ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะคุ้มครองตรงนี้

แต่เราคิดดูสิ ใครๆ ก็พิจารณาอยากได้อสุภะ ใครพิจารณาก็อยากให้รู้ให้เห็น แล้วพิจารณาไปเชือดคอตายเลย

เราเคยอยู่ เวลาพิจารณาอสุภะๆ เวลาผิด มันไม่ใช่ๆ เวลามันเสื่อม เสื่อมหมด มี ไม่อยากเอ่ยชื่อ ครูบาอาจารย์เรานี่แหละ เวลาพิจารณาอสุภะๆ ถึงเวลาแล้วมันเสื่อม เพราะมันไม่เป็นความจริงไง

ถ้าเป็นความจริงๆ มันต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างที่เวลาหลวงตาท่านทำ เวลาพิจารณาอสุภะๆ จนมันหายเงียบหมดเลย หลวงตาบอกไม่เอา ไม่มีเหตุผล

คือมันไม่จบโดยข้อเท็จจริง ท่านถึงเอาสุภะมา เอาความสวยงามมาแนบไว้กับจิต วันแรกๆ มันก็ยังแอ็กต์อยู่นะ ไม่มีๆ จน ๓-๔ วันมันดิ้นออกมา รับรู้ออกมา...ไหนว่าไม่มีไง

นี่เวลาครูบาอาจารย์เราท่านคุ้มครองดูแลกัน ท่านคุ้มครองดูแลกันอย่างนี้ ท่านรักษากันอย่างนี้ นี่หลวงปู่มั่นท่านดูแลคุ้มครองมานะ

ในการปฏิบัติไป เวลาเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสมันพลิกมันแพลงนี่เหมือนเลย ปฏิบัติเหมือนดี เหมือนสุดยอดเลย แต่ไม่ใช่

แต่ถ้ามันต่อเนื่อง เหมือนดีเลย แล้วพิจารณาแยกแยะแล้วเอามาทบทวน แล้วถ้าอย่างไรแก้ไข แล้วต่อเนื่องไปๆ สุดยอดเลย นี่เวลาธรรมเป็นอย่างนี้

นี่พูดถึงว่าโรคของกิเลสมันถึงน่ากลัวไง

ฉะนั้น สิ่งที่พูดนี้ก็พูดถึงจำนวนประชากรของประเทศไทย ๓๐ เปอร์เซ็นต์คือเป็นจิตเภท ๓ ล้านคนโรคซึมเศร้า ๑ ล้านคนที่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วตรวจวัดไม่ได้ กรมสุขภาพจิตออกเป็นตัวเลขของกรมสุขภาพจิตเลย

แล้วเพราะกรณีนี้เราถึงได้ย้อนกลับมา แล้วมาย้อนกลับมาก็มาดูแลพวกเรานี่ ถ้ามันมีสิ่งใดอย่างไรเราควรจะตรวจดูแลรักษาเพื่อความดีงามในการปฏิบัติ ทั้งผู้ที่ปฏิบัติและทั้งศาสนา

ทางศาสนาคือการประพฤติปฏิบัติแล้ว การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นธรรมโอสถเพื่อความดีงาม เพื่อความปกติ เพื่อความสุข เพื่อความปกป้องคุ้มครองหัวใจของตน นี่พูดถึงในการปฏิบัตินะ เอวัง